โรคภูมิแพ้ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ผิวหนัง
พบได้ประมาณ 10% ของสุนัขที่มีภาวะที่ร่างกายมีความโน้มเอียงทางพันธุกรรม ทำให้มีความไวสูงฉับพลันต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร ไร หรือ เชื้อรา แต่ยังคงยากต่อการวินิจฉัยโรค ซึ่งจะเกิดกับสัตว์เลี้ยงไปตลอดชีวิต มักพบอาการของโรคครั้งแรกในสุนัขระหว่าง อายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี พบผื่นแดง คัน ติดเชื้อในช่องหู อาจพบว่าการเกิดอาการ สัมพันธ์กับช่วงฤดูกาล สุนัขบางพันธุ์มีความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ เช่น เวสต์ไฮแลนด์ไวท์ เทอร์เลีย ลาบราดอร์ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ปั๊ก พูเดิล ดัลเมเชี่ยล ถึงแม้ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสารก่อภูมิแพ้และการทำปฏิกิริยากับผิวหนัง การศึกษาผิวหนังสุนัขที่เป็นภูมิแพ้ พบผิวหนังขาดความแข็งแรงจากปริมาณชั้นไขมันระหว่างเซลล์ลดลง

ความอ้วนของน้องหมา

ความอ้วน
น้ำหนักตัวเกินของน้องหมาเป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อน้องหมาเพราะจะก่อให้เกิดโรคอื่นๆหลายโรคตามมาภายหลังได้ น้ำหนักส่วนเกินเกิดขึ้นได้เมื่อสัตว์เลี้ยงได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ใช้เกิดการสะสมในรูปไขมันทำให้มีการสะสมไขมันกระจายทั่วร่างกาย
สุนัขที่อ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคดังต่อไปนี้

โรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง

โรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower Urianry Tract Disorders)
ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เป็นกลุ่มอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะหรือท่อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งนิ่วเกิดจากการรวมกันของแร่ธาตุในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วชนิดสตรูไวท์ และอ๊อกชาแลต เป็นนิ่วที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข ทำให้ปัสสาวะลำบาก และอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายย้อนกลับขึ้นไปที่ไตได้
สาเหตุของโรค
  •  ภาวะความเป็นกรด- ด่าง ของปัสสาวะ
  • การติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • มีผลึก หรือก้อนนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ มักเกิดขึ้นในกระเพาะปัสสาวะซึ่งสามารถใช้โภชนบำบัดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้
  • ความอ้วน อายุ
  •  เพศ ในสุนัขเพศผู้มีโอกาสเกิดนิ่วได้ง่ายกว่าเพศเมีย (ยกเว้นนิ่วชนิดสตรูไวท์)
  •  สายพันธุ์ สุนัขพันธุ์เล็ก เช่น มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ พูดเดิ้ล ชิส์สุ และ ยอร์กเชีย เทอร์เรีย มีโอกาสเกิดนิ่วได้ง่าย ส่วนดัลเมเชี่ยนมักมีความเสี่ยงจะเกิดนิ่วชนิดยูเรตได้ง่าย เป็นต้น
  • ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบจากสาเหตุอื่น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ความเคลียด สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงรวมกันหลายตัว เป็นต้น
อาหาร
  • ปัสสาวะยาก เบ่ง ปัสสาวะกะปริบกระปรอย บางตัวอาจปัสสาวะเป็นเลือด
  • เลียอวัยวะขับถ่าย ปัสสาวะผิดที่ หยดนอกถาดปัสสาวะ
  • ซึม เบื่ออาหาร อาเจียน
การรักษา
สัตวแพทย์อาจทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ ส่งตรวจวิเคราะห์ชนิดของนิ่วในห้องปฏิบัติการ การรักษามักพิจารณาตามชนิดและขนาดของนิ่ว เช่น การผ่าตัด ส่วนท่อปัสสาวะ ให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาชนิดอื่นเพื่อรักษา ร่วมกับการเปลี่ยนอาหาร เป็นต้น
ความสำคัญของอาหารต่อโรคนิ่ว
อาหารมีส่วนสำคัญในการจัดการกับโรคนิ่ว และโรคระบบทางเดินปัสสาวะเพื่อประกอบการรักษา และป้องกันการเกิดโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โรคไต kidney disease

หน้าที่หลักของไต ได้แก่
  • กรองของเสียออกจากเลือด และกำจัดออกทางปัสสาวะ
  • ควบคุมสมดุลขอบแร่ธาตุ เช่นโซเดียมฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น
  • ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนบางชนิดซึ่งช่วยควบคุมความดันเลือด และสร้างเม็ดเลือดแดง
โรคไตเป็นกลุ่มโรคที่เกิดความเสียหายของไต ทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกายได้ตามปกติ ของเสียจึงสะสมอยู่ในร่างกายสัตว์ร่างกายจะสูญเสียความสมดุลของกรด-ด่าง น้ำ และแร่ธาตุในกระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมน ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจ และหลอดเลือดตามมาได้
คุณทราบหรือไม่
เมื่อมีความเสียหายที่ไต จะมีฟอสฟอรัสสะสมในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น และอาจทำให้มีปัญหาฮอร์โมนตามมา ดังนั้นเมื่อสัตว์ป่วยด้วยโรคไตจึงควรให้อาหารที่มีฟอสฟอรัสต่ำ เพื่อช่วยลดหรือชะลอความรุนแรงของโรคไตในสุนัข
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไต
  •       อายุ สนัขแก่มักมีความเสี่ยงมากกว่า ในสุนัขอายุเฉลี่ยประมาณ 6.6 ปี
  •       สายพันธุ์ บางสายพันธุ์มีความเสี่ยงสูง เช่น พันธุ์ชิห์สุ คอกเกอร์ สแปเนียล โดเบอร์แมน ลาซ่า แอปโซ่ เป็นต้น
  •       อาหาร อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงอาจมีแนวโน้มนำให้เกิดโรคไตได้
  •       ปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวการณ์ติดเชื้อ โรคนิ่ว สารพิษบางชนิด เช่น ฟีนอล สามารถโน้มนำให้เกิดโรคไตได้
อาการของโรคไต
      ส่วนมากจะไม่ค่อยแสดงอาการ จนกว่าไตจะเกิดความเสียหายมากกว่า 75 % ขึ้นไป โดยอาการอาจแตกต่างกัน แต่โดยมากการกินน้ำมากกว่าปกติมักจะสังเกตได้ก่อน หากพบอาการดังกล่าวควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วนเพื่อขอคำแนะนำ หรือวินิจฉัยเพิ่มเติม
อาการของโรคไตมีดังนี้
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด เหนื่อยง่าย
  • ดื่มน้ำมาก ปัสสาวะมาก หรือไม่ปัสสาวะเลย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีกลิ่นปากแรง มีแผลในปากทำให้เจ็บปาก และกินอาหารน้อยลง
การรักษา
ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรักการวินิจฉัย และหาสาเหตุการเกิดโรคเพื่อให้น้องหมาได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และทันเวลา
      สัตวแพทย์มักแนะนำให้เจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพความเสียหายของไต และภาวะโลหิตจางที่มักเกิดตามมา นอกจากนี้ยังอาจตรวจปัสสาวะหรือทำการเอ็กซเรย์เพิ่มเติม เพื่อช่วยวินิจฉัย

ประเภทของสุนัข

ประเภทของสุนัข แบ่งได้ 6 กลุ่มใหญ่ๆ คือ สุนัขล่าเนื้อ, สุนัขเพื่อเกมส์กีฬา, สุนัขเทอร์เรีย, สุนัขทำงาน, สุนัขตุ๊กตา และ สุนัข อเนกประสงค์ ดังจะเขียนรายละเอียดแต่ละกลุ่มดังนี้
1. สุนัขล่าเนื้อ (Hounds) แค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว สุนัขล่าเนื้อ เป็นสุนัขกลุ่มแรกๆเลยที่มนุษย์เรานำมาใช้ประโยชน์โดยการล่าสัตว์ ใช้เป็นสุนัขช่วยในการล่าสัตว์  โดยสุนัขกลุ่มนี้จะมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีมาก และมีความแข็งแรงของร่างกายมาก   อาจแบ่งย่อย ได้อีก 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่มีสายตาดี สุนัขกลุ่มนี้จะมีความว่องไวเป็นเลิศ และมีสายตาที่ดีมากๆ จะมีรูปร่างโดยปกติทั่วไป จะมีรูปร่างที่สูง ช่วงขาจะยาว เช่น เกรย์ฮาว์น อัฟกัน และ สะลูกี้
กลุ่มที่มีประสาทการรับกลิ่นดีมากๆ ซึ่งมนุษย์เราไม่ต้องไปเทียบเลย ลักษณะรูปร่างของสุนัขกลุ่มนี้คือจะมีขาสั้นแต่มีความแข็งแรง หัวใหญ่ หูแผ่กว้างใหญ่ เช่น บัสเสทฮาว์น ดัชชุน
2. สุนัขเพื่อเกมส์กีฬา (Sporting Dogs) เป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากการล่าสัตว์มาเพื่อเกมส์กีฬา โดยแต่ก่อนนั้นสุนัขกลุ่มนี้จะมีหน้าที่คือ การค้นหาเหยื่อ และก็ นำเหยื่อที่ถูกยิงแล้วกลับมาให้เจ้าของ เราสามารถแบ่งสุนัขเพื่อเกมส์กีฬาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
สเปเนี่ยน เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลางที่เฉลียวฉลาด จมูกรับกลิ่นได้ดีมาก มีลักษณะเด่น คือ หูจะยาว และตูบ แบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พันธุ์ที่ใช้ล่าสัตว์ และพันธุ์ขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันนี้จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น
พอยเตอร์ และเซทเตอร์ เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสเปเนี่ยน ขายาว หูตูบ และ จมูกรับกลิ่นได้ดีเยี่ยม ในการออกล่าสัตว์ เจ้าของจะให้สุนัขตามรอยเหยื่อ ออกไปได้ไกลกว่า
รีทรีพเวอร์ เป็นสุนัขที่มีเป็นมิตร มีความแข็งแรง มีโครงสร้างที่ดี และ มีความเชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ โดยสิ่งที่สุนัขพันธุ์นี้มันถนัดคือ การค้นหา และ นำเหยื่อที่ถูกยิงกลับมาให้เจ้าของ เหมือนนักสืบเลยไหมล่ะ  โดยปกติแล้ว มันมักจะทำงานร่วมกับสุนัขพันธุ์สเปเนี่ยน ทำงานเป็นทีมแบบ บัดดี้เลย โดยให้สเปเนี่ยนเป็นผู้เริ่มต้นค้นหา ส่วนรีทรีพเวอร์คอยนำเหยื่อที่ถูกยิงแล้วกลับมาให้เจ้าของ นอกจากนี้ รีทรีพเวอร์ยังว่ายน้ำได้ ดี มันจึงมักถูกใช้ในการล่าสัตว์ปีกที่บินอยู่เหนือน้ำ เช่น ห่านป่า เป็นต้น

ประเภทสุนัข(ต่อ)

3. สุนัขเทอร์เรีย (Terriers) เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ มีนิสัยนิสัยที่ชอบอยากรู้อยากเห็น ชอบขุดคุ้ย ชอบดมกลิ่น และชอบตามรอย มันจึงถูกใช้เป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์ โดยเทอร์เรียจะทำหน้าที่ตามรอยสัตว์ป่า เช่น กระต่าย หนู หมาป่า แม้สุนัขพันธุ์เทอร์เรียจะเป็นสุนัขขนาดเล็ก ขาสั้น แต่มันกลับเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว มีชีวิตชีวา ผนวกกับนิสัยประจำตัวที่อดทน และกล้าหาญ ทำให้ มันถูกใช้เป็นสุนัขสงคราม บางยุคก็นำเทอร์เรียมาต่อสู้ในสนามแข่ง แต่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเล่นภายในบ้าน
   ประเภทของสุนัขเทอร์เรีย แยกย่อยได้อีกหลายพันธุ์ แต่เราอาจแบ่งเทอร์เรียเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของเส้นขน คือ
    1. พันธุ์ขนเรียบ และ สั้น เช่น ฟอกซ์ เทอร์เรียขนสั้น
   2. พันธุ์ขนหยาบ และ ยาว เช่น สก็อตทิช เทอร์เรีย และ เคอรี บลู เทอร์เรีย เป็นต้น     
พันธุ์ที่ได้รับความนิยม เช่น ฟ็อกซ์ เทอร์เรีย, บูล เทอร์เรีย, แบดลิงตัน และ แมนเชสเตอร์
4. สุนัขทำงาน (Working dogs)  ไม่ใช่มีแต่ วัว ควาย เท่านั้น ที่ใช้เป็นสัตว์ทำงานได้  สุนัขนี่แหล่ะก็ทำงานได้เหมือนกัน แต่ต้องเป็นสุนัขที่แข็งแรง ทนทาน มนุษย์เราก็ได้เลือกสรรมาใช้งาน เช่น
มนุษย์นำสุนัขมาใช้งาน เช่น เฝ้ายาม สำรวจหาระเบิด (ในสงคราม) ลากสัมภาระ ต้อนฝูงสัตว์ ตามรอยผู้ร้าย และ ช่วยเหลือผู้ ประสบภัย ปัจจุบันสุนัข ยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตำรวจ นำทางคนตาบอด ตรวจค้นหายาเสพติด ก๊าซรั่ว ระเบิด และ ล่าสุดสุนัขนั้น็ยังถูกฝึกให้ช่วยเหลือคนหูหนวกได้อีกด้วย
ตัวอย่างของสุนัขตำรวจ ได้แก่ บ็อกเซอร์ โดเบอร์แมน พินซ์เช่อร์ รอทไวเลอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด เกรดเดน
มนุษย์นำสุนัขมาเป็นผู้ช่วยในการทำงาน อย่างเช่นสุนัขขวัญใจชาวไร่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชาวไร่ อย่างเช่น Collie , Old English Sheepdog , German Shepherd , Shetland  Sheepdog และ Corgi โดยสุนัขพวกนี้ จะช่วยชาวไร่ในการเฝ้าฝูงปศุสัตว์ คอยต้อนสัตว์ ออกไปกินหญ้า และ กลับบ้าน เป็นต้น พวกมันช่วย ชาวไร่ทำงานได้ดีมาก จึงไม่น่าแปลกใจว่า เกือบทุกประเทศที่มีการเลี้ยงสัตว์ จะการพัฒนา สายพันธุ์สุนัขต้อนสัตว์ จนได้พันธุ์ประจำถิ่นของตนเอง เช่น Collie จากสก็อตแลนด์ Puli จากฮังการี และก็มี Corgi จากเวลส์ เป็นต้น
สุนัขจอมอึด มีสุนัขอีกพวกหนึ่งที่แข็งแกร่ง และ อดทนมาก จนสามารถทำงานหนักๆ แทนมนุษย์ได้ เช่น ในอังกฤษสุนัขถูกใช้ให้ส่งจดหมายระหว่างเมือง และก็ ลากเกวียน  บรรทุกของนอกจากนี้ ประเทศในเขตอากาศหนาวมากๆ ซึ่งการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังใช้สุนัข เช่น Alaskan Malamute, Siberian Husky และก็  Samoyed เพื่อเป็นพาหนะเดินทาง โดยสุนัขพวกนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ภายในเวลา 18 ชั่วโมง และสุนัข 4 ตัวที่ใช้เทียมล้อเลื่อนสามารถลากเลื่อนที่  หนักถึง 180 กิโลกรัมได้ระยะทาง 30 ไมล์ต่อวันทีเดียว
5. สุนัขตุ๊กตา (Toy) เป็นสุนัขตัวเล็กๆ ซึ่งถูกพัฒนามาจากตัวใหญ่นั่นแหล่ะ ถูกพัฒนาพันธุ์จนได้สุนัขตัวน้อยๆที่น่ารักน่าเอ็นดู สุนัขประเภทนี้เหมาะสำหรับ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนอยู่ในบ้านเพื่อแก้เหงา ช่วยให้คนที่อยู่คนเดียวไม่เหงา และด้วยจากขนาดเล็กๆนี้เองจึงเป็นที่รักของเด็กๆด้วย
ประวัติของสุนัขไฮโซนี้หรือ สุนัขตุ๊กตาถือกำเนิดขึ้นมาตั้งหลายพันปีแล้ว โดยเมื่อ 4,000 ปีก่อน เราพบสุนัขสิงโต (Lion Dogs) ที่หน้าตาคล้ายๆ กับ สุนัขปักกิ่งในจีน สุนัขตุ๊กตาเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิง และเด็กๆ ในสังคมชั้นสูง เช่น ราชินีแมรี่ แห่งสก็อตแลนด์ ราชินีวิคตอเรีย พระ   นางมารี อังตัวเนต และ มาดามปอมปาดัว แห่งฝรั่งเศส หรือ แม้แต่จักรพรรดินีของ จีน และ ลามะแห่งธิเบต ก็ล้วนแล้วแต่มี สุนัขคู่ใจเป็นสุนัขตัวเล็กๆ นี้กันทั้งนั้น
        ถึงแม้ว่าจะตัวเล็ก น่ารัก ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่เจ้าสุนัขตุ๊กตา ก็มีสัญชาติญาณของความเป็นหมา เฝ้าบ้านที่มันอยู่อาศัยได้ พร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย โดยการเห่าหรือร้องหงิงๆ เมื่อมีผู้บุกรุก และอาจจะจู่โจมผู้บุกรุกเลยทีเดียว
6. สุนัข อเนกประสงค์ (Non Sporting) ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่า สารพัดประโยชน์จริงๆ ตามแต่เจ้าของจะใช้งานสุนัขกลุ่มนี้ที่นิยมเลี้ยงกันและโด่งดังทะลุฟ้าเชียว เช่น สุนัขลายจุด (ดัลเมเชี่ยน) ขวัญใจเด็กๆ หนูๆ น้องๆ

สุนัขทั้ง 6 กลุ่มที่กล่าวมาทั้งหมด หลายๆท่านก็รู้แล้วสินะ ว่าน้องหมาของท่าน นั้นจัดอยู่ในกลุ่มไหน ถ้าไม่มีกลุ่มก็จัดไปอยู่กลุ่ม อเนกประสงค์ได้เลย แต่ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหน ก็ไม่สำคัญ ปัจจุบันเราเลี้ยงสุนัขก็เพื่อเป็นเพื่อน เลี้ยงไว้ดูเล่น แก้เหงา เฝ้าบ้าน ซะส่วนใหญ่ ยังไงเขา(น้องหมา) ก็เป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเราเรียบร้อยแล้ว 

น้องหมาพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่(Jack Russell Terrier)


ประวัติของน้องหมาพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่(Jack Russell Terrier)

เจ้าสุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ โดยในปี ค.. 1800 ศาสตราจารย์แจ็กรัสเซลล์ (Jack Russell) ผู้ที่ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เนื่องจากในตอนนั้นสุนัขพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่ มีขนาดเฉลี่ยความสูงประมาณ 35 เซนติเมตร และศาสตราจารย์แจ็กรัสเซลล์ (Jack Russell) ต้องการได้สายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจนต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กจนเป็นผลสำเร็จ และในปัจจุบันนี้ มีสุนัขสายพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่(Jack Russell Terrier) แยกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 

ลักษณะนิสัยของน้องหมาพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่(Jack Russell Terrier)

เป็นสุนัขพันธุ์นักล่าอยู่แล้ว ขึ้นชื่อในการซื่อสัตย์เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของเป็นอย่างดี มีความฉลาดหลักแหลม ช่างสงสัย ซุกซนมากๆ เวลาเลี้ยงบริเวณบ้านควรมีรั้วรอบขอบชิดด้วย มีนิสัยที่เป็นมิตรเข้ากับสัตว์เลี้ยงอื่นๆได้ง่าย มีลักษณะขนอยู่ 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ โดยสุนัขพันธุ์นี้มีอายุอยู่ประมาณ 14 ปี

การดูแลน้องหมาพันธุ์แจ็กรัสเซลล์ เทอร์รี่(Jack Russell Terrier)

การอาบน้ำต้องดูพฤติกรรมของเจ้าน้องหมาของท่านด้วยว่ามีความซนมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ค่อยซนแค่อาบน้ำเดือนละครั้งก็คงเพียงพอ ไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไปเพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งเนื่องจากน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของน้องหมาถูกชำระล้างออกไป ไม่ควรใช้แชมพูหรือสบู่ที่คนใช้เพราะไม่เหมาะกับสภาพผิดหนังของเจ้าน้องหมา ควรแปลงขนบ่อยๆ กำจัดขนที่หลุดร่วง ประมาณสัปดาห์ละครั้ง

ขอขอบคุณรูปสวยๆจาก

น้องหมาพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier)




ประวัติความเป็นมาของน้องหมาพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier)

เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ โดยในช่วงปี ค..1900 ได้มีการผสมข้ามสายพันธุ์เทอร์เรียร์ที่แตกต่างกัน โดยจากตอนกลางถึงตอนเหนือของประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะในเมืองยอร์คเชียร์ จนเป็นที่มาของชื่อสุนัขสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier) ในช่วงแรกๆการเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ก็เพื่อกำจัดหนูในไร่นา โดยในช่วงนั้นสุนัขมีน้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม แต่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลง จนกระทั่งในปัจจุบันนี้มีขนาดประมาณ  1-5.4 กิโลกรัมเท่านั้น และไม่มีใครเลี้ยงสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier) เพื่อกำจัดหนูอีกต่อไป มีแต่เลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในครอบครัว  และประกวดแข่งขันความฉลาด ความสวยงามกันเท่านั้น

ลักษณะทั่วไปของน้องหมาพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier)

มีลักษณะรูปร่างที่สมส่วน มีขนที่ยาว เรียบ เงางาม มีขนที่จมูกและปากยาว สีขนเป็นสีเงินออกน้ำเงินและสีทอง

ลักษณะนิสัยทั่วไปของน้องหมาพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์(Yorkshire Terrier)

มีความร่างเริง กระฉับกระเฉง มีความกล้าเป็นชีวิตจิตใจ เหมาะกับการเฝ้าบ้านที่ดี มีความสามารถในการได้ยินในระยะไกล มีความรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ในช่วงวัยเด็กของน้องหมาจะมีนิสัยซนมากด้วย แต่พอโตขึ้นความซนก็จะหายไปเอง  เป็นสุนัขที่ดูจะเชิดหยิ่ง มั่นใจตนเองสูง ไม่ค่อยชอบเห่าพร่ำเพรื่อ แต่เมื่อเจอคนแปลกน่าจะเห่าเพื่อเตือนเจ้าของ

ขอขอบคุณสำหรับรูปสวยๆของน้องหมาจาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kitpooh22&month=10-10-2012&group=29&gblog=16

น้องหมาพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog)



ประวัติความเป็นมาของน้องหมาพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog


ประวัติความเป็นมาของเจ้าสุนัขพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog) ชื่อก็บอกเป็นนัยแล้วว่า เกี่ยวกับฝรั่งเศส เมื่อก่อนนิยมเลี้ยงกันมากในประเทศฝรั่งเศส  สุนัขพันธุ์นี้สายพันธุ์ดั้งเดิม คือ บลูด็อก (bulldog) เป็นสุนัขที่มีเลี้ยงกันในประเทศอังกฤษแต่ยังไม่เป็นที่นิยมกัน
ปี ค.ศ.1860 ได้มีการนำสุนัขพันธุ์ บลูด็อก (Bulldog) ของประเทศอังกฤษ มาผสมพันธุ์กับสุนัขพันธุ์เฟรนช์ เทอร์เรียร์ ของประเทศฝรั่งเศส และได้ตั้งชื่อสุนัขสายพันธุ์ที่เกิดใหม่นี้ว่า "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog) สรุป ก็คือ สุนัขพันธุ์ "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog) เป็นสายพันธุ์ผสม (ลูกครึ่ง) ระหว่าง พันธุ์บลูด็อก (Bulldog) กับ "เฟรนช์ บูลด็อก" (French Bulldog) นั่นเอง

ลักษณะทั่วไปของน้องหมาพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog)

ลักษณะลำตัวมีลักษณะสั้น กลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้าง เอวเล็ก หัวมีขนาดที่ใหญ่ หน้าผากมีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีลักษณะที่เป็นจุดเด่นคือมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจน ดวงตากลม สีเข้ม จมูกสั้น รูจมูกกว้าง ปากกว้างและลึก มุมปากมีเหนียงค่อนข้างหนา กรามแข็งแรง ขาสั้น ขนสั้น นุ่ม หนาแน่น ความ
มีความสูงประมาณ 10-12 นิ้ว น้ำหนังประมาณ 11-13กก.  อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 12 ปี

 ลักษณะนิสัยของน้องหมาพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog)

มีนิสัยร่าเริง ขี้เล่น ฉลาด กล้าหาญ ชอบออกกำลังกาย แพ้อากาศร้อน และมีความตื่นตัวอยู่เสมอๆ มีลักษณะท่าทางที่เป็นมิตร เป็นน้องหมาอีกพันธุ์หนึ่งที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง คือไม่ค่อยเห่าเท่าไรนัก

การดูแลน้องหมาพันธุ์เฟรนช์ บลูด็อก (french bulldog)

เป็นน้องหมาที่มีขนสั้น จึงดูแลไม่ยาก อาบน้ำตามสมควร พาออกกำลังกาย พาไปวิ่งเล่นบ้าง หรือไม่ก็หาของเล่นให้เล่น เล่นลูกบอล เป็นต้น เจ้าน้องหมานี้จะมีการผลัดขนในช่วงฤดูร้อน และในช่วงฤดูร้อนนี้น้องหมาอาจจะมีอาการเคลียดด้วยเพราะนิสัยแล้วไม่ชอบอากาศร้อน (ก็เขามาจากฝรั่งเศสนิ อากาสหนาวที่ไหน)


ขอขอบคุณรูปน้องหมาน่ารักๆ จาก